วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของไส้อั่ว

ไส้อั่วเป็นอาหารที่รับประทานได้ทุกเวลา และดูจะเป็นอาหารที่มีรสชาติที่ปรับบทบาทได้ทุกสถานการณ์ เช่น ใช้เป็นอาหารกล่องเวลาเดิน>ทางไกลก็ได้ ซึ่งชาวเหนือใช้เป็นกับข้าวรับประทานกับข้าวเหนียว หรือชาวภาคกลางจะรับประทานกับข้าวสวยก็ไม่แปลก นอกจากเป็นกับข้าว
แล้วก็สามารถดัดแปลงเป็นกับแกล้ม หรืออาหารว่างรูปแบบต่างๆ เช่น ดัดแปลงรับประทานเป็นเครื่องเคียงกับขิงอ่อนสด พริกขี้หนูหั่น หัวหอมแดง มะนาวแบบเมี่ยงคำ ก็จะได้รสชาติแปลไปอีกแบบหนึ่ง


สรรพคุณทางยา

1. มะกรูด รสปร่าหอม ช่วยดับกลิ่นคาว ขับลมในลำไส้ ขับระดูแก้จุกเสียด
2. พริกแห้ง รสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
3. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
4. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไขเพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
5. ตะไคร้ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ และช่วยเจริญอาหาร และขับเหงื่อ
6. ขิง รสหวานเผ็ดร้อน แก้ลม จุกเสียด แก้เสมหะ บำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียนอาเจียน

ประโยชน์

ไส้อั่วที่อร่อยจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย คุณค่าทางอาหารของไส้อั่วนอกจากจะได้โปรตีน ไขมัน แล้วยังได้แร่ธาตุอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ส่วนประกอบส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรเครื่องแกงที่ช่วยขับลมได้เป็นอย่างดี


คุณค่าทางโภชนาการ

ไส้อั่ว 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 4691 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
- น้ำ 1641.75 กรัม
- โปรตีน 361.5 กรัม
- ไขมัน 329 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 63.8 กรัม
- กาก 6.6 กรัม
- เถ้า 4.9 กรัม
- ใยอาหาร 2.6 กรัม
- แคลเซียม 1114.3 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 1180.5 มิลลิกรัม
- เหล็ก 73.4 มิลลิกรัม
- เรตินอล 3.08 ไมโครกรัม
- เบต้า-แคโรทีน 254 ไมโครกรัม
- วิตามินเอ 4956.5 IU
- วิตามินบีหนึ่ง 203.03 มิลลิกรัม
- วิตามินบีสอง 5.64 มิลลิกรัม
- ไนอาซีน 2.8 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 54.4 มิลลิกรัม


ที่มา : https://www.facebook.com/111930345644863/posts/264333633737866/

วิธีการทำไส้อั่ว


1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด


2. ล้างไส้หมูให้สะอาด โดยใส่น้ำลงในไส้ แล้วกลับด้านในออกมาด้านนอก นำไปแช่น้ำใส่เกลือ ประมาณ 10 นาที แล้วกลับด้านนอกออกเหมือนเดิม


3. ใส่เครื่องแกงลงคลุกเคล้ากับเนื้อหมูบดให้เข้ากัน


4. ใส่ผักชีต้นหอมซอย ใบมะกรูดซอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน


5. นำหมูที่คลุกเคล้าเรียบร้อยแล้ว มากรอกใส่ไส้หมู โดยใช้กรวยช่วยในการกรอกหมูใส่ไส้


6. เมื่อกรอกไส้จนเต็มแล้ว มัดปากไส้


7. นำไส้อั่วที่ได้มาย่างไฟอ่อนๆ จนสุกเหลืองทั่ว ประมาณ 45 นาที


ที่มา : http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/detail_lannafood.php?id_food=25

ส่วนผสมของไส้อั่ว



1. เนื้อหมูบด 1 กิโลกรัม
2. ไส้หมู 300 กรัม
3. ใบมะกรูด 10 ใบ
4. ผักชีซอย 2 ช้อนโต๊ะ
5. ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ


เครื่องแกง



1. พริกแห้ง 10 เม็ด
2. ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
3. ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
4. หอมแดง 10 หัว
5. กระเทียม 20 กลีบ
6. กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ 1 ช้อนชา



ที่มา http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/detail_lannafood.php?id_food=25

ไส้อั่วคืออะไร


ไส้อั่ว เป็นอาหารพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย ปกติมักจะทำมาจากเนื้อหมูบด ผสมพริกแห้ง กระเทียม ขมิ้น ข่า ใบมะกรูด หอมแดง และเครื่องปรุงรส แล้วกรอกลงไปในไส้หมู ที่เกลาจนบางแล้ว บิดให้เป็นท่อนพอประมาณ จากนั้นนำไปย่างให้เกรียม จะทำให้มีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน สำหรับผู้ที่เป็นชาวมุสลิมหรือไม่ประสงค์ที่จะรับประทานหมูด้วยเหตุผลใดๆก็ ตามอาจจะดัดแปลงใช้เนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้วก็กรอกเข้าไปในไส้สัตว์ชนิดอื่นหรือไส้เทียมแทนก็ได้

อาหารพื้นบ้านจานเด็ดอย่างหนึ่งของชาวล้านนา ซึ่งมีรสชาติเป็นที่ติดอกติดใจกันทั่วไปในหมู่ชาวไทยล้านนาและคนภาคอื่น ๆทั่วประเทศไทยนั่นคือ ไส้อั่ว

คำว่า อั่ว ในภาษาล้านนา หมายถึง แทรก หรือยัดไว้ตรงกลาง ไส้อั่ว จึงหมายถึงไส้ที่มีการนำสิ่งของมายัดไว้ การทำไส้อั่วนิยมใช้ไส้หมูและเนื้อหมู

ในอดีตเมื่อถึงยามเทศกาลหรือเมื่อมีการจัดงานใด ๆ ถ้ามีการล้มหมู มักมีเนื้อหมูเป็นจำนวนมาก จนบางครั้งนำมาทำเป็นอาหารไม่ทันก็อาจเกิดการเน่าเสียได้ จึงมีแนวคิดในการนำเอาเนื้อหมูเหล่านั้นมาถนอมอาหารโดยการตากแห้งหรือย่างไฟ หรือนำมาประกอบอาหารที่สามารถเก็บไว้กินได้นาน ๆ เข่น การทำแหนม เป็นต้น

ในการทำไส้อั่วก็เช่นกัน ถือเป็นการทำอาหารที่สามารถเก็บไว้กินได้นาน ๑ - ๒ วัน นอกจากนี้ ยังเป็นการนำเศษเนื้อและเครื่องในพวกไส้ต่าง ๆ มาทำให้เกิดประโยชน์ด้วย


ที่มา : https://sites.google.com/site/s5310835136/home/xahar-phakh-henux
http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/detail_lannafood.php?id_food=25

อาหารพื้นเมือง


ในอดีตบริเวณภาคเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาก่อน ช่วงที่อาณาจักร แห่งนี้เรืองอำนาจ ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมีผู้คนจากดินแดน ต่าง ๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้ จึงได้รับวัฒนธรรมหลากหลายจากชนชาติต่าง ๆ เข้ามา ในชีวิตประจำวันรวมทั้งอาหารการกินด้วย อาหารของภาคเหนือ ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่าง ๆ เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีแหนม ไส้อั่ว แคบหมู และผักต่าง ๆ สภาพอากาศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารพื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่น ๆ นั่นคือ การที่อากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมันมาก เช่น น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล ไส้อั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งการที่อาศัยอยู่ในหุบเขาและบนที่สูงอยู่ใกล้กับป่า จึงนิยมนำ พืชพันธุ์ในป่ามาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกกล้วย ผักหวาน ทำให้เกิดอาหารพื้นบ้าน ชื่อต่าง ๆ เช่น แกงแค แกงหยวกกล้วย แกงบอน

ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/143568